SERVER

By | 20/07/2016
server

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ การเลือกซื้อ server และ ราคา Server

เซิร์ฟเวอร์ (server) คือเครื่องบริการ หรือ เครื่องแม่ข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ทำงานให้บริการ ในระบบเครือข่ายแก่ลูกข่าย ที่เรียกกันว่า client ซึ่ง client จะเป็นผู้ใช้บริการจากเซิร์ฟเวอร์อีกทีหนึ่ง ดังนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ สามารถทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์นี้ควรที่จะมีประสิทธิภาพสูง มีความเสถียร เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ หรือ client ได้เป็นจำนวนมากๆ ได้นั่นเองภายในเซิร์ฟเวอร์ให้บริการได้ด้วยโปรแกรมบริการต่างๆ ซึ่งทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการอีกชั้นหนึ่ง

ทำไมต้องใช้ server ? computer ปกติ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เปิดตลอด server จะมีระบบที่สามารถ รองรับเวลา hard disk เสีย (redundancy) เพราะ server จะมี spare hard disk ซึ่งสามารถที่จะ switch over มาใช้ได้ทันที ที่ hard disk ตัวหลักมีปัญหา เช่นเดียวกับ ระบบ power supply ก็จะมี spare เช่นเดียวกัน

โดยทั่วๆไป server จะทำหน้าที่
1 Web server
2 printer servers
3 Application server
4 File servers
*******************************************
1 Web server หลายบ้านหรือ หลายๆบริษัท คงจะมี website เป็นของตัวเองและแน่นอน เวลาที่ เรา ใส่ url นั่น ข้อมูลที่ได้มาที่มา show ที่คอมเราทั้งหมดนั้น ก็มาจาก web server นั่นเอง
2 File server หลายๆบริษัท คงต้องการให้ file งานต่างๆ ถูกเก็บไว้ในที่ ที่เดียวและเป็นที่ ที่ทุกคนใน บริษัท สามารถที่จะ ดึงข้อมูล หรืออัพโหลดข้อมูลเข้าไป ซึ่ง server สามารถรองรับ การดึงข้อมูล ได้หลายๆ session ในเวลาเดียวกันไม่ hang
3 Printer Server ถูกออกแบบมาให้ printer ทั้งหมดต่อ กับ server เครื่องเดียว และ ทุกคนสามารถที่จะ print เอกสารได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องต่อเข้ากับ printer โดยตรง โดยปกติแล้วถ้าไม่มี printer server จะทำให้ computer เครื่องที่ต่อเข้ากับ printer นั้นใช้ได้เพียงเครื่องเดียวค่ะ แต่ก็ต้องบอกว่า Printer ในสมัยนี้สามารถทำตัวเป็น Printer Server ได้ในตัวเองทั้งนั้นแล้วค่ะ เพียงแค่เราอยู่ในวง LAN เดียวกับ Printer พอโหลด Driver เสร็จก็สามารถใช้งานได้
4 Application server จะถูกนำไปใช้อมื่อ PC แรงไม่พอที่จะเอามา ลง database ขนาดใหญ่มากๆได้ อาทิเช่น email ขององค์กร ที่ต้องใช้เนื้อที่จำนวนมากๆ ดังนั้น server คือคำตอบ
ส่วนวิธีการเลือกถ้าเราต้องการเอา server ไปเก็บพวก file ต่างๆ หรือต่อเครื่อง printer นั้น spec ของ server ไม่ต้องแรงมาก แต่สำหรับ application server อาจจะต้องการ multi core อาจจะเป็น Server ที่เร็วในระดับกลางๆและ ที่สำคัญ RAM กับ hard disk ต้องสูงหน่อย และสุดท้าย web server นั้นต้องการ processor สูงที่สุด เพื่อรองรับการ query หลายๆ session

RAID (Redundant Array of Inexpensive Disk) คือระบบ redundancy หรือ ระบบควบคุมฮาร์ดดิสก์ของเซิร์ฟเวอร์เมื่อเกิดความเสียหาย นั้น มีหลายแบบ

แบบ RAID 0 ยกตัวอย่างมีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละลูกมีความจุ 500 GB ดังนั้นเราสามารถเก็บข้อมูลได้ 1000 Gb แต่เมื่อ ฮาร์ดดิสก์ลูกใดลูกหนึ่งเสีย ก็จะทำให้ ฮาร์ดดิสก์ ใช้งานไม่ได้ทั้งสองลูกเลย ลักษณะเด่นของ RAID 0 คือความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล แต่ข้อเสียก็คือหาก harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย จะส่งผลกับข้อมูลทั้งระบบทันที
แบบ RAID 1 ยกตัวอย่างมีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละคนมีความจุ 500 GB เราจะสามารถเก็บข้อมูลได้แค่ 500 GB แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อฮาร์ดดิสก์ลูกหลักเสีย อีกตัวก็จะทำงานแทนทันที จุดเด่นของ RAID 1 คือความปลอดภัยของข้อมูล ไม่เน้นเรื่องประสิทธิภาพและความเร็วเหมือนอย่าง RAID 0 แม้ว่าประสิทธิภาพในการอ่านข้อมูลของ RAID 1 จะสูงขึ้นก็ตาม
แบบ RAID 10 หรือ RAID 1 +0 คือการใช้ประโยชน์ของ RAID 0 และ RAID 1 ตัวอย่างเช่นเรามี ฮาร์ดดิสก์ 6 ลูก เราให้สามลูกแรกเป็น ลูกที่ใช้งานจริง ส่วนสามลูกหลังเป็นฮาร์ดดิสก์สำรอง ในกรณี ฮาร์ดดิสก์สามลูกแรกมีลูกใดลูกหนึ่งเสีย ฮาร์ดดิสก์สามลูกหลังจะทำงานแทนทันที มีอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อวันใดเราอยากเพิ่มขนาดของ ฮาร์ดดิสก์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ทั้ง 6 ลูกมีความจุอยู่ 500 Gb แสดงว่า จำนวน ขนาดของ ความจุของ server ตัวนี้ เท่ากับ 500×3 คือ 1500 Gb แต่ถ้าเราอยากเพิ่มเป็น 2000 Gb เราต้องซื้อฮาร์ดดิสก์ 500 Gb มาสองลูก เพื่อเพิ่มในส่วนที่ใช้งานและส่วนที่สำรอง เหมาะสำหรับ Server ที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างมาก และไม่ต้องการความจุมากนัก
แบบ RAID 3 (N +1) ต้องมีอย่างน้อย 3 ฮาร์ดดิสก์ ตัวอย่างเช่นฮาร์ดดิสก์ 3 ลูกแต่ละลูกมีความจุ 200 GB ดังนั้น server เราจะสามารถจุข้อมูลได้ 400 Gb อีก 200 Gb เก็บไว้สำรองข้อมูลในกรณีที่ลูก แรกหรือ ลูกที่สองเสีย ฮาร์ดดิสก์ลูกที่ 3 จะทำงานให้แทนลูกที่เสียทันทีค่ะ ดังนั้น RAID 3 เหมาะสำหรับใช้ในงานที่มีการส่งข้อมูลจำนวนมากๆ เช่นงานตัดต่อ Video
แบบ RAID 5 (N +1) สามารถแทนที่ฮาร์ดดิสก์ชำรุดในขณะที่ระบบยังคงทำงานลงเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด อย่างน้อย 3 ฮาร์ดดิสก์ ลูก แรกหรือ ลูกที่สองเสีย ฮาร์ดดิสก์ลูกที่ 3 จะทำงานให้แทน เป็นเช่นเดียวกับ RAID 3 แต่มันจะส่งผ่านข้อมูลเร็วขึ้น จุดเด่นของ RAID 5 คือ เทคโนโลยี Hot Swap คือเราสามารถทำการเปลี่ยน Harddisk ในกรณีที่เกิดปัญหาได้ในขณะที่ระบบยังทำงานอยู่ เหมาะสำหรับงาน Server ต่างๆ ที่ต้องทำงานต่อเนื่อง
RAID 6 (N +2) อาศัยพื้นฐานการทำงานของ RAID 5 แต่จะดีกว่า RAID 5 ตรงที่ว่ามี backup hard disk ถึง สองลูก และยอมให้เราทำการ Hot Swap ได้พร้อมกัน 2 ตัว RAID 6 จึง เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยและเสถียรภาพของข้อมูลที่สูงมากๆ

เครดิตข้อมูลจาก richmoonsoft.co.th

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *